ครบ 1 ปีแล้วที่ผมได้ทำพอร์ตจำลองไสตล์พี่โจ๊ก นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์ วันนี้ผ่านมาหนึ่งปี ปรากฎว่าผลตอบแทนของพอร์ตจำลองนี้ที่เอาชนะ Nasdaq และ S&P500 ได้แบบฉลุย โดยทำกำไรได้ 73% และที่สำคัญ มันชนะพอร์ตส่วนตัวของผมเองด้วย! T.T
เรื่องมันเป็นไงมาไง?
เมื่อเดือนนี้ปีที่แล้ว เมื่อผมได้ไล่ฟังคอร์สออนไลน์ของพี่โจ๊ก นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์ ในกลุ่มเฟสบุ๊คของพี่เขา ซึ่งผมคิดว่าล้ำค่ามาก มีข้อคิดดีๆ ในการลงทุนเต็มไปหมด เพื่อๆสามารถไปสมัครได้ที่ coziplace.com ปัจจุบันพี่โจ๊กทำยูทูปช่อง Coziplace ด้วย ซับด่วน!
ในตอนนั้นพี่โจ๊กบอกว่าพอร์ตของเขาจะถือหุ้นรวมกันประมาณ 30 ตัว (ปัจจุบันล่าสุดคัดเหลือ 20 ตัว) โดยจะเน้นหุ้นเทคที่ 1) มี Runway ยาวๆ 2) มี Founder ที่เก่งปรับตัว 3) มีโอกาสเป็นผู้ชนะ แล้วถือมันไปเรื่อยๆ ผ่านร้อน ผ่านหนาวไปกับมัน พยายามไม่ซื้อหรือขายแม้มันจะขึ้นหรือลง นอกจากนี้ไม่ต้องสนใจ Valuation มันมาก เพราะตลาดจะให้ราคาเรื่องระยะสั้นไปหมดแล้ว ส่วนระยะยาวก็อยู่ที่การวิเคราะห์ของเรานั่นแหละ สาเหตุที่พี่แกเลือกหลายตัวหน่อยเพราะว่า การลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะในหุ้นเทค นั้นมีโอกาสผิดพลาดสูง การกระจายความเสี่ยงจึงสำคัญ
Challenge Accepted!
แล้วผมก็ทำ Google Sheet พอร์ตจำลองพี่โจ๊คของผมขึ้นมา นี่คือหุ้นที่ผมเลือกเมื่อ 12/9/24 ครับ
หุ้นซิ่งๆ ทั้งนั้น แต่ก็เป็นหุ้นที่ผมคิดว่ามีคุณภาพนะ 55555
อย่างที่บอกไปด้านบน ผ่านมาหนึ่งปี พอร์ตนี้ทำกำไร (ไม่รวมปันผลด้วยนะ) 73% และถ้าคัดเฉพาะหุ้นที่ผม “รู้จักดี” นั้น จะได้ถึง 82.4% และต่อให้ผมคัด 5 ตัวที่ทำได้ดีที่สุดออก ก็ยังชนะตลาดอยู่โดยทำได้ 45% vs QQQ 28%, SPY 20%
คุณอาจจะบอกว่านี่มันเป็นพอร์ตแบบ High Beta แต่จะบอกว่าช่วงที่ตลาดแย่ตอน Trump ออก Tariff ผมแอบแว้บมาดูพอร์ตนี้ก็ยัง Beat QQQ และ SPY อยู่ดี
ทั้งนี้ ตลาดมันดีมากจริงๆ เราไม่ควรคาดหวังการเติบโตแบบนี้สำหรับปีถัดๆ ไป ขอแค่ชนะตลาดในระยะยาวก็พอ
แต่เรื่องยังไม่จบแค่นี้ นอกจากการเลือกหุ้นแล้ว ในตอนนั้นผมได้ใส่ลักษณะต่างๆ ของแต่ละบริษัทไว้ในคอลัมถัดๆ มาเพื่อเก็บข้อมูลเพิ่มเติมด้วย ได้แก่
Know Enough?: เราเข้าใจบริษัทมากพอที่จะลงทุนไหม
Type: s-curve (เน้นโตไปเรื่อยๆ) หรือ moat (โตช้าหน่อยแต่ Moat ดี)
Pace of Innovation: บริษัทนี้ออกนวัตกรรมเร็วแค่ไหน
Management Quality: ผู้บริหารดีแค่ไหน รวมถึงแรงจูงใจด้วย
Moat / Winner: เป็นผู้ชนะที่ชัดเจนแล้วหรือยัง
Robust?: ไม่เจ๊งง่ายๆ หนี้เยอะ หรือเงินสดหมด หรือมีความเสี่ยงด้านกฎหมาย
Growth Runway: ยังโตไปได้อีกไกลแค่ไหน
Path to 10x?: มีโอกาสตอบแทนเรา 10 เท่าใน 12 ปีหรือไม่?
Valuation too high?: แพงเวอร์หรือไม่?
Already own?: ผมเป็นเจ้าของหุ้นนี้จริงๆ หรือไม่?
Capsize: <10b, 10-100b, 100b+
ปล. ค่าที่ผมให้สำหรับแต่ละตัวเป็นความคิดของผมเอง คุณอาจจะคิดไม่เหมือนผมก็ได้
ตอนนี้ผมรู้สึกว่าโชคดีที่ผมได้ทำ เพราะมันทำให้ผมคำนวณแยกต่อได้อีกว่าอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้พอร์ตกำไรดี ลองมาดูกันครับ (ดูยากนิดนึง)
เพื่อนๆ อาจจะโฟกัสแค่ตารางล่างก็ได้ ก็คือจะคัดเอาเฉพาะหุ้นที่ผมเคยตั้งใจอ่านมาจริงๆ ซึ่งจากหุ้น 31 ตัวนี้เราก็เห็น trend อะไรหลายอย่างนะ (sample size ไม่เยอะ แต่ก็พอได้น่ะ..)
Know Enough?: หุ้นที่ผม know enough ทำได้ดีกว่าหุ้นที่ผมไม่รู้จักแบบชัดเจน
Type: หุ้นแบบ Moat ชัด ทำผลตอบแทนได้ดีกว่า - อันนี้ค่อนข้าง Surprise ผม ผมนึกว่าจะกลับกันเพราะในช่วงตลาด Bull ดอกเบี้ยลด หุ้นเน้นโตน่าจะทำได้ดีกว่า
Pace of Innovation: หุ้นที่มี Pace of Innovation ชัดทำได้ดีที่สุด แต่หุ้นที่ผมคิดว่าไม่มี Innovation เยอะกลับทำได้ดีเช่นกัน (มี RCL, SE, BKNG) ซึ่งเอาจริงสามตัวนี้ก็ค่อนข้าง Innovative นะ
Management Quality: หุ้นที่มีผู้บริหารดีในสายตาผม ทำได้ดีกว่าบริษัทที่ผู้บริหารไม่ดีอย่างชัดเจน แปลว่าผมมองผู้บริหารได้ถูกก่อนที่ตลาดจะเห็น - ถือว่าเป็น Win แต่ปีต่อไปไม่แน่ใจจะ outperform ต่อไหม
Moat / Winner: ผลบอกว่ามีหรือไม่มี moat ในสายตาผม ไม่สำคัญ แปลว่าผมอาจจะดู moat ไม่ค่อยเป็น
Robust?: หุ้นที่ Robust ในสายตาผมทำได้แย่กว่าหุ้นที่มีความเสียในบางเรื่อง แปลว่าความ Robust อาจจะถูก priced in ไปเยอะแล้ว และตลาดกำลัง Risk on
Growth Runway: หุ้นที่ Growth Runway ยาวในสายตาผมทำได้ดีกว่าชัดเจน
Path to 10x?: หุ้นที่ผมมองว่ามีโอกาสโต 10 เด้งได้ ทำได้ดีกว่าหุ้นที่ดูไม่มีโอกาส
Valuation too high?: หุ้นที่ผมคิดว่าแพงแล้ว ทำได้แย่กว่าหุ้นที่ผมคิดว่าไม่แพงอย่างชัดเจนมากๆ แปลว่าการมองความถูก-แพง ยังสำคัญ
Already own?: หุ้นที่ผมถือจริงๆ โตเยอะกว่าหุ้นอื่นๆ ที่ผมเลือกเข้ามาเสริม โดยโต 134% เลย หลักๆ มาจาก APP แต่ตัวอื่นอย่าง SE, RCL ก็ไม่แย่ ปัญหาคือในชีวิตจริง ผมไม่ได้มี APP เยอะเท่ากับตัวที่ไม่ขึ้นอย่าง AMZN, FOUR (แม่มเอ้ยย) นอกจากนี้ผมยังขายบางตัวออกไปก่อน เป็นบทเรียนเลยจริงๆ เช่นเรือสำราญ
Market Cap Size: หุ้น Cap เล็กและกลางโตได้ดีกว่าหุ้น Mega Cap จริงๆ อันนี้ก็อาจจะเป็นเพราะ Law of large number ด้วยแหละ
Exercise นี้ทำให้ผมเรียนรู้หลายอย่าง
ผมเลือกหุ้นได้ดีอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ในปีที่ผ่านมา บางทีแค่เลือกบริษัทดีๆ แล้วนั่งรอไป ก็พอแล้วแต่…
ปัญหาของผมคือถือไม่ทน ผม Over trade ใช้อารมณ์มากไป บางทีผมก็พยายามเร่งเกินไป บางทีผมก็ขายก่อนเพราะกลัวมันลง หลังจากมันขึ้นมาเยอะ ซึ่งไม่ใช่เหตุผลที่ดี โดยเฉพาะสำหรับหุ้นอเมริกา/หุ้นเทค ซึ่งตรงนี้ผมพยายามแก้ด้วยการเขียนก่อนขายเลยทำบล็อกนี้ขึ้นมา (ซึ่งก็ยังไม่ได้ช่วย 100% 555)
Sense of Valuation ของผมพอใช้ได้ และการให้ความสำคัญกับความถูก-แพง แต่ไม่จำเป็นต้องทำ Valuation อย่างละเอียด (แต่การทำละเอียดมันก็มีข้อดีของมันอยู่นะ)
มีหุ้นเด็ดๆ แค่ตัวสองตัว ต่อให้มีน้อย ก็ทำให้พอร์ตคุณชนะตลาดได้ง่ายๆ แล้ว ในพอร์ตจำลองของผม มี APP (+567%), HIMS (+267%), RBLX (+194%), NET (+184%) ตัวที่ได้เป็นเด้งก็มีอีกหลายตัว
ผมคัดผู้บริหารได้ดี และผู้บริหารที่ดี ทำให้บริษัทไปได้ไกลกว่า
หุ้นที่มีลุ้นกว่าคือหุ้นที่มีโอกาส 10x แต่เรามักจะไม่กล้าถือมันเยอะเพราะความไม่แน่นอนบางอย่าง แต่ผมควรถือหุ้นพวกนี้มากขึ้น
Study นี้ยังไม่จบนะครับ หุ้น Cohort 2024 จะยังถูกติดตามต่อไป ไว้ปีหน้าผมมาอัพเดตอีก แต่สำหรับปี 2025 นี้ผมก็จะทำ Cohort ใหม่มาอีก และจะทำใหม่ทุกปี..
สำหรับหุ้นปีนี้ของผม มีตามนี้ครับ (ถ้ามันยังชนะพอร์ต personal ผมอีก ผมอาจจะมาใช้สูตรนี้จริงจังละ) เพื่อๆ สามารถโหลด Template ไปเล่นได้ด้วยนะครับ พอเข้าไปแล้ว ให้กด File > Make a Copy อย่า Request Permission นะครับ









ขอบคุณมากครับ