ล่าสุด Meta เปิดตัว Meta Rayban Display แว่น AR รุ่นใหม่ที่มีหน้าจออยู่ในตัว ที่มาพร้อมกับสายรัดข้อมือ Neural Band ที่ทำให้เราสั่งการตัวแว่นด้วยการขยับมือเพียงเล็กน้อย
จริงๆ ทั้งหน้าจอบนแว่นแบบ Waveguide และ Neural Band ต่างก็ถูกนำมาโชว์ของ Meta ตั้งแต่ปีที่แล้วแล้ว (Google ก็เอาแว่นมาโชว์ล่าสุดเช่นกัน) แต่ที่มันน่าทึ่งของครั้งนี้คือ มันกำลังจะวางขายแล้วปลายเดือนนี้ ที่ราคาแค่ $799 ซึ่งถูกกว่ามือถืออีก Meta คงขายขาดทุนเพื่อเอา Volume และเป็นผู้นำไปก่อน แต่ก็เป็นราคาเริ่มต้นที่เข้าถึงคนหมู่มากได้จริงๆ
หลังจากที่ได้ฟัง Quote ของ Ben Thompson ใน Sharp Tech Podcast ที่บอกว่า
All new paradigms come up with a new input method.
และ
Every new paradigm needs a new user interface.
ทำให้ผมรู้สึกว่านี่เจ้าแว่น Display เนี่ยแหละน่าจะเป็น Form Factor ในอนาคต และพอรวมกับ AI แล้วทำให้เราเข้าสู่ยุคใหม่ของคอมพิวเตอร์ (New Computing Paradigm) ต่อจากยุคมือถือ
ที่แว่น Meta Rayban หรือ Smart Glass รุ่นก่อนๆ ยังไม่สามารถถึงกับเป็นผลิตภัณฑ์ที่แพร่หลายได้เพราะ
Input ได้ด้วยการใช้เสียงเท่านั้น ซึ่งไม่สะดวกในหลายกรณี และมีความผิดพลาดสูง สู้การกดปุ่มหรือพิมพ์ไม่ได้
ไม่มี Output นอกจากเสียง ทำให้แสดงผลลัพธ์ได้ไม่เยอะ เช่นแสดงรูป วิดีโอ หรือ Status ต่างๆ ไม่ได้ ส่วน Text ก็อ่านได้ช้า และไม่เหมาะในที่เสียงดัง
การมาของหน้าจอ และ Neural Band จะแก้ปัญหาทั้งสองอย่างนี้ได้อย่างดีเยี่ยม Neural Band ทำให้เราสามารถพิมพ์ หรือทำ Gesture ต่างๆ ได้โดยไม่รบกวนสภาพแวดล้อม ในขณะที่การมีหน้าจอจะทำให้แว่นเรามีหลาย Use Case ขึ้นมามาก
นอกจากนี้ AI ยิ่งช่วยทำให้แว่นฉลาดขึ้นไปอีก เพราะมันจะเห็นและได้ยินสิ่งรอบตัวเหมือนเรา ทำให้มันเข้าใจการสั่งการของเรามากขึ้น ในอนาคตไม่ไกล Generative AI สามารถสร้าง UI แบบ Just in time สำหรับแอปต่างๆ ได้ทันที เมื่อ AI Agent มามันก็จะทำงานให้เราได้มากขึ้นไปอีก ซึ่งทำให้แว่นนี้มี…
..Use Case มากกว่าแว่น Smart Glass ยุคเก่ามาก
คุณ Ben Thompson บอกว่าการที่จะทำให้คนใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่นั้นต้องไม่ได้เป็นการพยายามแทนที่เทคโนโลยีเก่า (อย่าง Smartphone เองก็ไม่ได้มาแทนที่ PC) แต่เป็นการสร้าง Use Case ใหม่ๆ ที่ดีกว่าเก่าชัดเจน จนทำให้คนอยากซื้ออุปกรณ์ใหม่ ยกตัวอย่างเช่น Touch Screen บนมือถือนำมาซึ่งแอปต่างๆ ที่ใช้คอมไม่สะดวกเท่า
ว่าแต่ Use case อะไรล่ะที่จะทำให้คนใช้เรื่อยๆ ใน Home Page ของ Meta Ray-Ban Display พูดถึงการใช้แว่นในการ ตอบ SMS, แปลภาษา, นำทาง, ถ่ายรูป
สำหรับผม มีหลาย Use Case ที่น่าใช้กว่าการพกมือถือหรือ Device อื่นๆ จริงๆ (ส่วนตัวชอบตัวนำทาง ดูข้อมูลระหว่างสนทนา และซื้อของใช้ในบ้าน) จนผมรู้สึกว่าอยากฝากคนหิ้วมาจากอเมริกาเลย ซึ่งผมไม่ได้รู้สึกแบบนี้กับ Meta Rayban รุ่นก่อนๆ
นอกจากที่ Meta หยิบมาโชว์แล้วผมว่าต่อไปมันจะมี Use Case อื่นอีกมาก ที่แม้แต่บริษัทเองอาจจะยังคาดไม่ถึงด้วยซ้ำ Apple เองยังใช้เวลาหลายปีถึงเข้าใจว่า Apple Watch นั้นตอบโจทย์เรื่องสุขภาพและฟิตเนสที่สุด ยิ่ง Meta เอาแว่นออกมาให้ใช้เร็วเท่าไหร่ยิ่งมีโอกาสเจอ Use Case ดีๆก่อนเพื่อน
ในเมื่อ AI มันเห็นทุกอย่างที่ผมเห็น ถ้าผมใส่มันทำงานหน้าคอม มันอาจจะให้คำแนะนำผมได้ การช็อปปิ้งก็จะ Frictionless ขึ้นไปอีกเช่นกัน เดี๋ยวจะพูดถึงเรื่องนี้ต่อด้านล่าง
Meta จะทำเงินจากแว่นยังไง?
ที่ราคา $799 ต่อให้มี Economy of Scale แล้วก็ไม่น่าจะทำกำไรให้ Meta ได้เยอะขนาดนั้น (อย่าลืมว่าต้องแบ่งกำไรให้คนทำแว่นด้วย) เพราะฉะนั้น Meta ต้องหาวิธีทำเงินจากแว่นให้ได้มากกว่าเดิม
Zuck ถูกถามเรื่องนี้ใน ACCESS Podcast เขาตอบว่า
“Our profit margin isn’t gonna come from large device profit margin. It’s going to come from people using AI and other services over time…. Use it, or commerce through it, whatever the different things are that people do.” - Zuck
คำที่ติดอยู่ในหัวผมก็คือคำว่า Commerce นั่นแหละ การซื้อขายของและโฆษณาของมันอยู่ใน DNA ของบริษัทอยู่แล้ว ผมว่าเขา่าจะทำเงินจากตรงนี้
ผมว่าแว่น Display นี้ บวกกับพลังของ AI Agent จะทำให้ Friction ของการซื้อลดลงเยอะเลย เพราะเราแค่พูดหรือพิมพ์บอกแว่น หรือแม้แต่แค่มองสิ่งของที่เราอยากได้แล้วบอก “Hey Meta, I want to buy a bag similar to this. Can you search for me?” ตัว AI ที่เห็นสิ่งที่เราเห็นก็จะไปหาสินค้า และเสนอให้เรากดตกลงอีกทีในแว่นนั้นเลย เราแค่พยักหน้า หรือทำนิ้วคลิ๊ก ก็จบเลย เป็นต้น ส่วน Meta ก็ทำเงินจากการโฆษณาบนแว่นหรือกิน Payment (ที่ร่วมมือกับ Stripe ไว้อยู่แล้ว)
แต่ก็ไม่แน่ ตัว Device เองก็อาจจะทำเงินด้าน Hardware ให้ META ได้ดีไม่น้อย เพราะเมื่อเราใช้มันจนติดแล้วเราอาจจะต้องมีแว่นสองสามอัน เปลี่ยนตามชุดที่เราใส่ และสลับกันใช้เพราะระยะการใช้งานของแบตนั้นค่อนข้างสั้นที่ 6 ชั่วโมงต่อชาร์จ (ถ้าใช้ AI ตลอดรู้สึกว่าจะเหลือไม่ถึงสองชั่วโมง)
การแข่งขันมาแน่ๆ
จาก Sharp Tech Podcast ที่พูดถึงข้างบน Ben พูดว่าจริงๆ แล้วการที่ Meta Ray-Ban Display ถูกจำกัดความอิสระในการใช้งาน เพราะยังต้องทำงานกับ Android และ iOS อาจจะเป็นข้อดีในการสร้างสินค้าใหม่ที่เป็น New Paradigm จริงๆ ก็ได้ เพราะเขาจะมีอิสระทางความคิด ไม่ยึดติดกับ Ecosystem เดิม แบบ Microsoft (Windows Phone) หรือล่าสุดก็ Vision Pro ที่เอาแอปไอแผดมาใส่ พูดง่ายๆ คือมันไม่สุด!
“I think you will make progress in this front not by trying to rebuild a phone on your face. I think that is a trap. It’s a trap that Apple and Google are liable to fall into. I think Apple falls into that with the Vision Pro with the iPad apps. I see the allure on day one when you don’t have the developers you have a bunch of experiences. But, the problem is it’s sort of a shortcut that you are building in for everyone that is not optimized for what it is. Facebook has to start from zero. And they have to deliver experiences that are constrained and make sense with the user interface and nothing more. I think in the long run, the core of any experience like this has to be AI denominated where AI is figuring out, showing you what you need, when you need it. It’s not a navigation paradigm. It’s not going into an app and doing x,y,z.” - Ben Thompson from Sharp Tech Podcast
แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม Apple และ Google จะต้องออกแว่นตามมาในไม่ใช้แน่ๆ ที่จริง Google ก็เพิ่งเปิดตัว Android XR ไปเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ซึ่งนั้นมี Display ด้วย แต่ยังขาด Neural Wristband ผมเชื่อว่าเจ้าอื่นก็น่าจะทำ Wristband ได้เหมือน Meta ไม่ติดลิขสิทธิ์อะไร บางคนอาจเอาไปใส่ในรูปของนาฬิกาเลยก็เป็นได้ ไม่ต้องใส่สองเส้น
นอกจากนี้ ข้อดีของ Google คือมีข้อมูลครบทั้ง Stack (Search, Workspace, Maps, Gemini, TPU) ทำให้แว่นฉลาดมากแต่แรก และทำ Commerce แบบ META ได้ด้วย (เอา Circle to search มาใช้เลยไรงี้) ส่วนข้อเสียของ Google อาจจะมีเรื่องการที่ยังทำ Hardware ไม่เก่งขนาดนั้น (Pixel ดูสู้ iPhone ล่าสุดไม่ได้เลย) และการที่ยังต้องคำนึงถึง Android Ecyosystem ตามที่บอกไปก่อนหน้านี้
ส่วน Apple นั้นยังไม่มีการเปิดตัวอะไรทั้งสิ้น แต่ใช่ว่าเขาไม่ได้ทำอะไร กลับกันจาก Google ทีมของ Tim Cook เก่งเรื่อง Hardware โดยเคยทำแว่น Vision Pro มาก่อน iPhone Air ที่ย่อขนาดทุกอย่างลงไว้หลังกล้อง ก็แสดงถึงความเก่งในด้านนี้ อีกข้อดีของผลิตภัณฑ์ของ Apple คือ Integration ที่ทำให้คนไม่หนีออกไปจาก Apple Ecosystem
แต่สิ่งที่ Apple ไม่เก่งคือ AI ซึ่งตรงนี้อาจจะเป็นจุดตายได้เลย ในอุปกรณ์ที่พึ่งความสามารถของ AI อย่างมาก จะเอา Gemini มาช่วยก็ดูเหมือนจะฝากชีวิตไว้กับศัตรูซะมากกว่า ต้องรอดูว่าเขาจะแก้เกมยังไง
สุดท้ายถ้า Apple ออกแว่นมาจริง น่าจะขายจากตลาดบนก่อน ไม่ได้กระจายลงไปทันที ซึ่งทำให้กินตลาดได้ไม่เร็วมาก
เพราะฉะนั้นผมว่างานนี้คนที่น่ากลัวกว่าคือ Google อ้อ! อย่าลืมอีกราย OpenAI! งานนี้มาร่วมวงด้วยแน่ๆ เขาต้องสู้เพื่อรักษาตำแหน่งเจ้าตลาด Personal AI ต่อไป รอดูเลย
สำหรับ Meta ที่เป็น First Mover ต้องรีบสร้างตลาดนี้ให้คนรีบติด และขายถูกเข้าไว้ และหาเงินจากบริการอื่นๆ อย่างที่เล่าไปด้านบน
ทั้งหมดนี้ทำให้ผม Bullish กับหุ้น Meta มากขึ้น
ผมเชื่อว่าเขาน่าจะเป็นหนึ่งในผู้เล่นใน AI ยุคต่อไปได้ ยุคของ Personal AI, AI Agent, Agentic Commerce อะไรแบบนี้
ในเชิงตัวเลข ผมไม่คิดว่าธุรกิจ Reality Labs จะไม่ทำเงินอย่างมีนัยสำคัญในปีช่วง 2-3 ปีข้างหน้า กลับกัน Meta น่าจะขาดทุนจาก Reality Labs มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยซ้ำ เพราะ ยิ่งขายยิ่งขาดทุนในช่วงแรกและถ้าขายดี ก็จะลงทุนสู้เพิ่มไปอีกเรื่อยๆ แต่ถ้าถามว่าการขาดทุนนี้จะทำให้หุ้นตกไหม ก็น่าจะไม่ เพราะถ้าแว่นขายดีขึ้นเรื่อยๆ ตลาดน่าจะมองมันเป็น S-Curve ใหม่ของบริษัท และจะทำกำไรได้ในที่สุด ถ้าเราเชื่อว่าแว่นจะมาจริง เราสามารถหักส่วนขาดทุนของ Reality Labs ที่สูงถึง 17 Billion ออกจากกำไรจากการดำเนินงานของฝั่ง Advertising ได้อยู่ ซึ่งจะทำให้ META นั้นมี EV/EBIT ที่ประมาณ 20 เท่า โดยที่ไม่เอามูลค่าของ Reality Labs มาช่วยเลย ผมว่า 20 เท่าเป็น Multiple ที่ผมว่าไม่แพง
Other Updates
MNDY: ผมกำลังค่อยๆ ศึกษาเพิ่ม (หลังจากมือบอนซื้อไปก่อนแล้ว) ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่า Moat น้อยไปหน่อย แต่เดี๋ยวจะพูดถึงในสามหนุ่มหุ้นนอกวันพฤหัสนี้ครับ อย่าลืมไปติดตามด้วย
SHOP: ล่าสุด Tobi Lutke CEO ไปออกรายการ Acquired อินเตอร์วิวเรื่อง AI และการปรับตัวของเขาต่อยุคใหม่ๆ ฟังทีไรแล้วรู้สึกว่าเขาเก่งจริงๆ ยิ่งฟังยิ่งชอบบริษัทนี้ และคิดว่ามันจะปรับตัวตามอนาคตได้เรื่อยๆ เสียดายที่ Trim หุ้นไปนิดนึง ผมเลยว่า ผมไม่ขายละ 8% ที่ผมมี ถือยาวๆ ยกเว้นมันจะแพงมากๆๆ